วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำไมพระพุทธเจ้า...ไม่ให้เชื่อพระไตรปิฎก


พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อคัมภีร์(พระไตรปิฎก)

                     หลักกาลามสูตร  ๑๐  ที่ว่าด้วยการอย่าเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ดังนี้
                     ๑. มา อนุสฺสาเวน                             อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
                     ๒. มา ปรมฺปราย                              อย่าเชื่อโดยเหตุสักว่าตามสืบๆ กันมา
                     ๓. มา อิติ กิราย                                อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว
                     ๔. มา ปิฎกสัมฺปทาเนน                  อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก
                     ๕. มา ตกฺกเหตุ                                อย่าเชื่อโดยนึกเดาเอาเอง
                     ๖. มา นยเหตุ                                    อย่าเชื่อโดยคาดคะเน
                     ๗. มา อาการปริวิตกฺเกน                อย่าเชื่อโดยการตรึกตรองตามอาการ
                     ๘. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนกฺขนฺติยา อย่าเชื่อโดยเห็นว่าถูกตามลัทธิของตน
                     ๙. มา ภพฺพรูปตาย                           อย่าเชื่อโดยเห็นว่า ผู้พูดควรเชื่อได้
                     ๑๐. มา สมโฌ โน ครุ                      อย่าเชื่อโดยถือว่า สมณะนี้เป็นครูของตน


 พุทธประสงค์ที่แท้จริงในการตรัสเรื่องนี้ ก็คือ  ไม่ทรงให้ปลงใจเชื่อถือเพียงเพราะอ้างตำรารวมไปถึงตำราที่เรียกกันว่าพระไตรปิฎกด้วย   แต่ก็มิใช่หมายความว่าไม่ให้เชื่ออะไรเลย    ทรงประสงค์ว่า การตัดสินใจเชื่อในแต่ละเรื่องมิใช่ตัดสินใจเชื่อเพียงเพราะเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ใน ๑๐ ประการนี้   แต่ควรจะมีข้อมูลในการตัดสินใจเชื่อที่มากไปกว่านั้น   เช่น  ไม่ให้ตัดสินใจเชื่อเพียงเพราะฟังจากอาจารย์อย่างเดียว  แต่ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนว่า คำพูดของอาจายร์นั้นสอดคล้องกับตำราอื่นหรือไม่   นำไปทดสอบทดลองแล้ว มีหลักการพอจะเข้ากันได้หรือไม่  เป็นต้น  ทำดังนี้แล้วจึงค่อยตัดสินใจเชื่อ  ....มิใช่ว่า ห้ามไม่ให้เชื่ออะไรเลย  ( เพราะการเชื่อในหลักกาลามสูตร..ก็เป็นการเชื่อคัมภีร์เช่นกันมิใช่หรือ??)
                     องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอีกว่า  “เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า  ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล  ธรรมเหล่านี้มีโทษ  ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้วจะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์   เมื่อนั้นท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ   เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครยึดถือปฏิบัติ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้นท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ(ธรรมเหล่านั้น)"

                ในกรณีที่ผู้ฟังยังไม่รู้ไม่เข้าใจและยังไม่มีความเชื่อในเรื่องใด ๆ  พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงชักจูงความเชื่อ  เป็นแต่ทรงสอนให้พิจารณาตัดสินเอาตามเหตุผลที่เขาเห็นได้ด้วยตนเอง  

คำว่า อย่ายึดถือ ในที่นี้ ขอให้เข้าใจความว่า  หมายถึงการไม่ตัดสินหรือลงความเห็นแน่นอนเด็ดขาดลงไปเพียงเพราะเหตุเหล่านี้ ตรงกับคำว่า "อย่าปลงใจเชื่อ"   อนึ่ง ไม่พึงแปลความเลยเถิดไปว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้  แต่พึงเข้าใจว่าแม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่าเป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด   ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด   ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ก็ขนาดสิ่งที่น่าเชื่อที่สุดแล้วท่านยังไม่คิดเชื่อ ให้พิจารณาให้ดีก่อน สิ่งอื่นคนอื่นเราจะต้องคิดพิจารณาระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน
                     สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นับถือในลัทธิศาสนาหรือหลักคำสอนใดๆ พระองค์จะตรัสธรรมเป็นกลางๆเป็นการเสนอแนะความจริงให้เขาคิด ด้วยความปรารถนาดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเอง โดยมิต้องคำนึงว่าหลักธรรมนั้นเป็นของผู้ใด โดยให้เขาเป็นตัวของเขาเอง ไม่มีการชัดจูงให้เขาเชื่อเลื่อมใสต่อพระองค์หรือเข้ามาสู่อะไรสักอย่างที่อาจจะเรียกว่าศาสนาของพระองค์ พึงสังเกตด้วยว่าจะไม่ทรงอ้างพระองค์หรืออำนาจเหนือธรรมชาติพิเศษอันใดเป็นเครื่องยืนยันคำสอนของพระองค์ นอกจากเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ให้เขาพิจารณาเห็นด้วยปัญญาของเขาเอง

 พระสารีบุตรไม่เชื่อใคร
                     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า   บุคคลผู้ไม่ยินดีในสิ่งน่ายินดี ไม่ประกอบในความดูหมิ่นละเอียดอ่อนมีปฏิภาณ ไม่ต้องเชื่อใคร   และไม่ต้องคลายกำหนัด

                     คำว่า ไม่ต้องเชื่อใคร คือ  ธรรมที่ตนรู้ยิ่งเห็นจริงด้วยตนเองแล้ว บุคคลไม่ต้องเชื่อต่อใคร ๆ อื่นอีกต่อไป  (  ..ขอยกตัวอย่างเสริม  เช่น  ผู้ที่เคยลิ้มรสมะนาวแล้ว ก็ไม่ต้องเชื่อต่อใคร ๆ อีกต่อไปว่ามะนาวนั้นมีรสเปรี้ยว เพราะได้รู้ยิ้งเห็นจริงด้วยลิ้นของตนเองแล้ว)   เพราะตนรู้ยิ่ง เห็นจริงด้วยตนเองแล้วว่า    สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง    สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์  ...  ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา    ...

                     สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสถามพระสารีบุตรว่า   สารีบุตร  เธอเชื่อหรือไม่ว่า  อินทรีย์ ๕ ที่บุคคลเจริญแล้ว  ทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตธรรม มีอมตธรรมเป็นที่ไปในเบื้อง เป็นที่สุด  
                     ..ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ในข้อนี้  ข้าพระองค์ไม่จำต้องเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคเลยว่า สัทธินทรีย์ ...วิริยินทรีย์  ..สตินทรีย์  ...สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว  ย่อมหยั่งลงสู่อมตธรรม  มีอมตธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า มีอมตธรรมเป็นที่สุด  
                     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ในเรื่องนี้ หากชนเหล่าใด ยังไม่รู้  ไม่เห็น ไม่เข้าใจ มิได้ทำให้แจ้ง มิได้สัมผัสด้วยปัญญาแล้ว  ชนเหล่านั้นก็ยังต้องถึงความเชื่อต่อผู้อื่น  แต่หากชนเหล่าใดรู้ เห็น เข้าใจ ทำให้แจ้ง สัมผัสด้วยปัญญาแล้ว     ชนเหล่านั้นก็    ย่อมไม่มีความสงสัย  ไม่มีความแคลงใจในข้อนั้นเลยว่า  สัทธินทรีย์ ..วิริยินทรีย์ ..สตินทรีย์    ...สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตธรรม    มีอมตธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า  มีอมตธรรมเป็นที่สุด
                     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า   ดีแล้ว  สารีบุตร   ในเรื่องนี้  ชนเหล่าใดไม่รู้ ไม่เห็นไม่เข้าใจ  มิได้ทำให้แจ้ง   มิได้สัมผัสด้วยปัญญาแล้ว  ชนเหล่านั้นก็ยังต้องดำเนินไปด้วยความเชื่อต่อผู้อื่นว่าสัทธินทรีย์  ...  ปัญญินทรีย์    ที่บุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว    ย่อมหยั่งลงสู่อมตธรรม    มีอมตธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า    มีอมตธรรมเป็นที่สุด

                     พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ไม่ต้องมีความเชื่อต่อใคร ๆ อีกต่อไป
                     คัมภีร์พระสุตตันตปิฏก  ทีฆนิกาย ปรากฎข้อความว่า       พระราชโอรสพระนามว่าขัณฑะและบุตรปุโรหิตชื่อติสสะบรรลุธรรมแล้ว ..หมดความสงสัยแล้วปราศจากความแคลงใจ   ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า  ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น[4]ในคำสอนของพระศาสดา   ได้กราบทูลพระวิปัสสีพุทธเจ้าว่า     ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก    พระผู้มีพระภาคประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง  ๆเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ    เปิดของที่ปิด    บอกทางแก่ผู้หลงทาง    หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า    ‘คนมีตาดีจักเห็นรูปได้’    ข้าพระองค์ทั้งสองนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคพร้อมทั้งพระธรรมเป็นสรณะ    และพึงได้การบรรพชาพึงได้การอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค
                                                บุคคลผู้ไม่ยินดีในสิ่งที่น่ายินดี
                                                ไม่ประกอบในความดูหมิ่น
                                                 ละเอียดอ่อน    มีปฏิภาณ
                                                ไม่ต้องเชื่อใคร    และไม่ต้องคลายกำหนัด
                                                บุคคลไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ
                                                ไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ
                                                ไม่เดือดดาลและไม่ยินดีในรสเพราะตัณหา

                     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
                                                นรชนใดผู้ไม่ต้องเชื่อใคร
                                                รู้จักนิพพานที่ปัจจัยอะไรปรุงแต่งไม่ได้
                                ตัดรอยต่อแห่งการเกิดใหม่
                                                ทำลายโอกาสแห่งการท่องเที่ยวไปในสงสาร
                                                คลายความหวังแล้ว    นรชนนั้นแล    เป็นบุรุษสูงสุด





วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

ผลการออกรางวัล งวด 1 เมษายน 2555

วิธีตรวจหวยรัฐ สังเกตุที่มุมขวาของเว็บ(ตรวจผลรางวัล)กรอกตัวเลข 6 หลักแล้วกดตรวจ อย่าลืมเลือกงวดที่จะตรวจด้วยว่าหวยของท่านเป็นของงวดใหน(สามารถตรวจย้อนหลังได้ 2 ปี)

ติดตามต่อได้ที่นี่ http://www.glo.or.th/

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

จังหวัดขอนแก่นจัดงานครบรอบ 10 ปีถนนข้าวเหนียว


จังหวัดขอนแก่นเตรียมจัดงานประเพณีสงกรานต์และงานครบรอบ 10 ปีถนนข้าวเหนียวปี 55 อย่างยิ่งใหญ่
ในปีนี้ยังคงเน้นการเล่นสงกรานต์โดยปราศจากแอลกอฮอล์ และการบันทึกการเล่นเวปมนุษย์เรืองแสง
พิเศษสุดร่วมกันอาบน้ำให้ไดโนเสาร์ในรอบหลายล้านปี

คืนที่ผ่านมา(30 มี.ค.)ที่ศาลหลักเมืองจังหวัดขอนแก่น นายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยตัวแทนจากสำนักงานเทศบาลบาลนครขอนแก่น องค์การบริหารส่วนจังหวดขอนแก่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และตัวแทนบริษัทเอกชนร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีสุดยอดสงกรานต์อีสานเทศกาลดอกคูณเสียงแคนและถนนข้าวเหนียว ปี2555 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 18 เมษายนนี้

นายสุภัทฐวิทย์ ธารชัย ปลัดเทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น กล่าวว่า การจัดงานประเพณีสุดยอดสงกรานต์อีสานเทศกาลดอกคูณเสียงแคนและถนนข้าวเหนียว เป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมร่วมสมัยให้ถนนข้าวเหนียวจังหวัดขอนแก่นเป็นสถานที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่มีความสนุก ปลอดภัย สามารถเดินเล่นทุกเพศ ทุกวัย ปลอดภัย โดยไม่มีแอลกอฮอล์

พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการจัดพื้นที่เวทีให้มีความเหมาะสมและร่วมกันดูแล จัดกิจกรรมร่วมกับเอกชนให้เป็นพื้นที่ของถนนคนเดินเล่นน้ำสงกรานต์ ระยะทางกว่า 840 เมตร ซึ่งมีพื้นที่การจัดงานตั้งแต่บริเวณรอบศาลหลักเมืองขอนแก่น ถึงสี่แยกถนนหน้าเมืองตัดกับถนนศรีจันทร์ (ตึกเตียวฮง) ซึ่งเป็นที่จัดงานถนนข้าวเหนียวระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน

โดยมีไฮไลต์สุดพิเศษ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี ถนนข้าวเหนียวสนุกกับการร่วมอาบน้ำให้ไดโนเสาร์ในรอบหลายล้านปี ตะลึงกับข้าวจี่ยาวที่สุดในโลก 10 เมตร และร่วมสนุกกับคลื่นมนุษย์เรืองแสงพร้อมความสนุกสนานกับศิลปินชั้นนำระดับประเทศ ชุ่มฉ่ำคลายร้อนตามแบบฉบับชาวขอนแก่นที่ถนนข้าวเหนียวมีเวทีความสนุกกว่า 10 เวที

ปลัดเทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับพื้นที่บึงแก่นนครก็เต็มอิ่มด้วยศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสานเริ่มตั้งแต่ 11-18 เมษายน 2555 ที่บริเวณสวนสาธารณะบึงแก่นนครพบกับกิจกรรมมากมาย ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตร พิธีรดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุ ขบวนแห่เกวียนบุปผชาติชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ขบวนแห่สงกรานต์ การประกวดเสียงแคนดอกคูน

การประกวดเต้น B-Boy และ Cover Dance การแข่งขันกีฬาเปตองชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จย่า ฟุตซอลต้านยาเสพติด บาสเกตบอลเทศบาลนครขอนแก่น เซปักตะกร้อชิงแชมป์ประเทศไทย การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP การแสดงหมอลำซิ่ง และคอนเสิร์ตหมอลำลูกทุ่งชื่อดังฟรีทุกคืน

ประกาศเตือนภัย "พายุโซนร้อน “ปาข่า”


ประกาศเตือนภัย
"พายุโซนร้อน “ปาข่า” "
ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2555
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (31 มี.ค.55) พายุโซนร้อน “ปาข่า” (PAKHAR) ในทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ห่างไปทางตะวันออกของเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ประมาณ 420 กิโลเมตร หรือ ที่ละติจูด 9.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 109.9 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกอย่างช้าๆ คาดว่าจะขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามตอนล่างในวันที่ 1 เมษายน 2555 และยังไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศประเทศไทยในระยะนี้

อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่ลงถึงประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้แล้ว ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จะมีพายุฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้น และอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ทำให้ภาคเหนือมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจายกับมี ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้บางพื้นที่

ประกาศ ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555
ออกประกาศ เวลา 16.30 น.