วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

สุรินทร์"คึกคักจับ"แมงกระชอน"เป็นรายได้เสริม



     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีชาวบ้านในหลายพื้นที่ของ จ.สุรินทร์ ต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภครวมทั้งการทำการเกษตรก็ไม่สามารถปลูกได้เนื่องจากมีแหล่งน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ประชาชนที่ว่างงานจากการเกษตรต้องเดินทางไปหางานทำที่ กทม.และต่างจังหวัดนั้น

ปรากฏว่าใน พื้นที่ บ้านพม่า ต.จารพัตร อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ได้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง นำถังน้ำออกเดินไปตามทุ่งนาเพื่อล่าแมงกระชอนนำมาประกอบอาหารและเพื่อนำไปขาย ซึ่งในปัจจุบันมีราคาถึงกิโลกรัมละ 80- 100 บาท เป็นการหาอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้พ้นผ่านช่วงหน้าแล้งได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ รวมทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้อีกด้วย

สำหรับการล่าแมงกระชอนดังกล่าวต้องใช้เท้าเหยียบย่ำตามทุ่งนาที่ยังคงมีน้ำขังอยู่เล็กน้อย หากบริเวณไหนไม่มีน้ำขังก็จะใช้ ถังในการวิดน้ำจากปลักควายหรือบริเวณที่มีน้ำขังใส่ ก่อนจะพากันลงแขกในการใช้เท้าเดินย่ำไปทั่วบริเวณที่มีน้ำเพื่อให้หญ้าและดินบริเวณดังกล่าวแฉะเละ หรือไม่ก็ใช้เสียมถากถางหน้ากินก่อนใช้เท้าย่ำ เพื่อให้ตัวแมงกระชอนที่มุดอยู่ใต้หญ้าในดินผุดอกมาให้เห็นก่อนที่จะพากันจับแมงกระชอนใส่ภาชนะที่เตรียมมา เมื่อจุดดังกล่าวไม่มีแมงกระชอนเหลืออยู่ ชาวบ้านก็จะพากันย้ายที่ไปหาแหล่งใหม่ โดยในแต่ละวันชาวบ้านจะได้แมงกระชอนไม่ต่ำกว่าคนละ 1-2 กิโลกรัม สร้างรายได้ให้เป็นอย่างดีในช่วงหน้าแล้ง

โดย นายเต็ม วนวงษ์ อายุ 50 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 68 หมู่ 9 บ้านพม่า ต.จารพัตร อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ กล่าวว่า  ในช่วงหน้าแล้งทุกปีชาวบ้านมักจะจับกลุ่มกันออกล่าแมงกระชอนในทุ่งนาเพื่อนำไปขายรวมทั้งเพื่อนำไปประกอบอาหารเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเอาไว้ทำอาหารกินในครอบครัว เพราะหายากและมีรสชาติอร่อย  สามารถทำอาหารได้หลายอย่าง อาทิ คั่วใส่เกลือ  ทอด  ตำน้ำพริกและแกงขี้เหล็ก  เป็นต้น ในวันหนึ่งจะได้คนละประมาณ 1-2 กิโลกรัม แล้วแต่ใครจะขยันเหยียบหา ซึ่งก็เป็นการหารายได้เสริมและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนในช่วงหน้าแล้งได้เป็นอย่างดี


ข่าวโดย : เดลินิวส์ออนไลน์

9 โรคร้าย!! ควรระวังในหน้าร้อน



1.โรคอุจจาระร่วง
ในช่วงเดือนมีนาคมในปีที่แล้ว มีผู้ป่วยจากโรคนี้ มากถึง 246,476 คน และเสียชีวิตมากถึง 35 ราย โรคนี้เกิดจากเชื้อโรค ต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ สามารถติดต่อได้โดยการทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกปนเลือด ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็วร่างกายจะสูญเสีย น้ำและเกลือแร่ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก หมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

2.โรคอาหารเป็นพิษ
เป็นโรคทางเดินอาหารที่พบบ่อยมากและมักเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วหลังจากทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป มักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหาร กระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ มักไม่มีไข้ หายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจดื่มหรือให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง

3.โรคบิด
ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง ร่วมกับอาการปวดเบ่งที่ทวารหนัก คล้ายถ่ายไม่สุด โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ บิดชิเกลลา (shigellosis) หรือบิดไม่มีตัวและบิดอะมีบา (amebiasis) หรือบิดมีตัว

4.ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย
เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่ถูกปนเปื้อน อาหารส่วนใหญ่ที่มักพบว่าทำให้เกิดโรค คือ อาหารจำพวกนม ผลิตภัณฑ์จากนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์ น้ำ และอาหารอื่นๆ ที่ถูกปนเปื้อน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ สัปดาห์แรกไข้มักไม่สูง อาจมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ตามตัว อาจมีหนาวสั่นได้ คนไข้ซึมลง อาจเพ้อ

5.อหิวาตกโรค (cholera)
เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio cholerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรค หรือพิษของเชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารกระป๋องที่เสียแล้ว เชื้อโรคจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำสีซาวข้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

6.โรคระบบทางเดินหายใจ
เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ปวดหัว ตัวร้อน ไอจาม ทั้งนี้ เพราะอากาศเปลี่ยนไปมาหรืออยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ร่วมกับร่างกายที่อ่อนแอ เมื่อรู้สึกตัวว่าเป็นหวัดให้พักผ่อน ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ ถ้าตัวร้อนให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำ คอยประคบระบายความร้อนออก และแยกนอนร่วมกับผู้อื่น หากยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ ในบางกรณีน้ำมูกอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวได้ อาจต้องกินยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

7. โรคผิวหนัง
ในหน้าร้อนอาจทำให้เราเกิดเม็ด ผดผื่นคัน สามารถป้องกันได้ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกายและรักษาความสะอาดบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกหรือน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่มีการเล่นสาดน้ำกัน

8. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ
เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่งที่มีสุนัขเป็นพาหะหลักที่นำเชื้อไวรัสมาสู่คน โดยสุนัขบ้าอาจกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนมีแผลเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้านี้ เมื่อมีอาการของโรคจะเสียชีวิตทุกราย แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และหากถูกสุนัขที่สงสัยว่าอาจมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียผิวหนัง ต้องไปหาหมอทันที ที่สำคัญ ควรนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน

9. โรคเครียด
เป็นปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยในหน้าร้อน ทำให้เกิดอาการปวดหัว นอนไม่หลับ โมโหและหงุดหงิดง่าย จนกระทบไปถึงความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง และอาจทำให้เกิดการทะเลาะกันง่ายขึ้น วิธีคลายเครียดง่ายๆ คือ หนีร้อนไปอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เช่น ในห้องแอร์ ใต้ร่มไม้ หรือหางานอดิเรกทำ ฝึกสมาธิ เป็นต้น

แต่อย่าเพิ่งตกใจไป
มีวิธีป้องกันได้
1. เลือกทานอาหาร-น้ำดื่ม เน้นความสด ใหม่ สะอาด สินค้ากระป๋องไม่หมดอายุ
2. ทำร่างกายให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แต่ร้อนๆ อย่างนี้ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป
3. ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ว่าที่บ้านหรือที่ทำงาน อากาศต้องถ่ายเทสะดวก ส่วนห้องแอร์ก็ต้องเย็นอย่างพอเหมาะด้วยอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ไม่อย่างนั้นพอออกไปข้างนอกห้องอาจทำให้เกิดอาการวูบได้ง่ายๆ

4. อยู่บ้านดีกว่า นอกจากจะประหยัดในยุคเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ การอยู่บ้านยังทำให้เราเย็นสบาย ไม่ต้องกลัวโรคลมแดด แต่หากจำเป็นควร สวมหมวก หรือกางร่มก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทันถึงขั้นเกิดภาวะช็อกได้


ที่มา : ไอ.เอ็น.เอ็น

ปลาพระอาทิตย์ ปลาใหญ่ยักษ์

ปลาพระอาทิตย์ ปลาใหญ่ยักษ์ ที่น้อยคนจะได้เห็น รูปปลาพระอาทิตย์ ปลาขนาดใหญ่ ปลาพระอาทิตย์ หรือ มาโบจัง - ปลาซันฟิช sunfish ปลาขนาดมหึมา ที่ประเทศไทยเราไม่ค่อยมีใครได้เห็น ปลาพระอาทิตย์ ตัวใหญ่ ขนาดนี้สักเท่าไหร่



เครดิตภาพจาก kkksssrrr

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

ลาบเทา อาหารพื้นบ้านแถบอิสาน







ลาบเทา เป็นอาหารพื้นบ้านทางแถบอิสาน โดยการนำเทา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด ปรุงด้วยสูตรลาบอิสาน เรียกว่า " ลาบเทา " และเป็นที่นิยมรับประทานของชาวอิสานมาทุกยุคทุกสมัย เมนูลาบเทานี้จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอาศัยช่วงจังหวะที่น้ำมีสภาพอุณหภูมิ และระบบนิเวศของน้ำมีความสำพันธ์กันอย่างเหมาะสม จึงจะเกิดเทาขึ้นมาได้มากน้อยต่างกัน พบว่า... แหล่งน้ำในช่วงฤดูหนาว เป็นช่วงที่เกิดเทาได้มาก และพบเทาได้มากกว่าในช่วงฤดูอื่น (เดือนพฤศจิกายน - มกราคม)

ส่วนประกอบที่สำคัญในการทำลาบเทา ได้แก่
1. เทา
2. ป่นปลาทูนึ่ง
3. น้ำปลาร้าต้มสุก
4. มะเขือ + ถั่วฝักยาว
5. หอมแดง และกระเทียมผสมเล็กน้อย
6. ต้นหอม + ยี่หร่า + ใบหูเสือ ( ยี่หร่า อิสานสนมเรียก หอมห่อ หรือ หอมเป )
7. พริกป่น + ข้าวคั่วบดละเอียด

การปรุงลาบเทา
1. ผสมน้ำปลาร้าต้มสุกกับเทา แล้วคนให้เข้ากันให้ได้รูปในลักษณะของเหลวหนืด
2. ใส่ส่วนประกอบอื่นๆ ตามกันไป ได้แก่ ป่นปลาทูนึ่ง , ถั่วฝักยาว และมะเขือ (หั่นแล้ว) , หอมแดง (หั่นแล้ว) บ้างก็ใส่กระเทียมเล็กน้อย สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานกระเทียม , พริกป่น + ข้าวคั่วบดละเอียด , ต้นหอม + ยี่หร่า + ใบหูเสือ (ซอยแล้ว) แล้วคนให้เข้ากันทีเดียวอีกครั้ง ตักเสิร์ฟพร้อมรับประทาน

หมายเหตุ : เทาอาจมีไข่พยาธิ หรืออื่นๆ ปนมาด้วย เมื่อต้องการกำจัดไข่พยาธิด้วยวิธีการต้มเดือดลาบเทาที่ปรุงเสร็จแล้วนั้น ลาบเทาจะเหลวเป็นน้ำ แต่คุณค่าอาหารยังอยู่ หากต้องการรับประทานลาบเทาสดๆ ให้นำเทาไปแช่แข็งก่อนปรุงที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งประมาณ 10 - 20 นาที ไข่พยาธิก็จะแตก (ตาย)