วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

10 สาเหตุที่ทำคุณฟันเหลือง

1. เครื่องดื่มเกลือแร่
         ปัจจุบัน เครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ที่ช่วยทดแทนการสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย มีจำหน่ายมากมายหลากหลายยี่ห้อซึ่งก็มิใช่แค่พ่อหนุ่มนักกีฬาเท่านั้นที่ นิยม สาวเราบางคนเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ซื้อหามาดื่มหวังสร้างความกระปรี้กระเปร่าอยู่เป็นประจำแต่ทราบหรือไม่ว่า เครื่องดื่มประเภทนี้ไม่ดีต่อฟันเอาซะเลย
         ทั้ง นี้เพราะมีผลการวิจัยออกมายืนยันว่า เครื่องดื่มเกลือแร่เหล่านี้มักมีค่าความเป็นกรด อยู่ในระดับสูง ซึ่งกรดเหล่านี้ สามารถส่งผลให้ผิวฟันผุกร่อนได้ง่ายๆนอกจากนี้น้ำตาลที่มีอยู่ในเครื่องดื่ม นี้ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานานยังก่อให้เชื้อแบคทีเรีย (Bacteria)ซึ่งเป็นสาเหตุให้ ฟัน เปราะ แตกหักง่ายและเกิดภาวะร่องเหงือกอักเสบได้อีกด้วย
          "การ วิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้สูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาอาจนำไปสู่การพัง ทลายของฟัน เนื่องมาจากกรด ซึ่งมีความเข้มข้นสูงที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนั้น เข้าไปทำลายเคลือบผิวฟัน” David F. Halpern ประธานสถาบันทันตกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุ
2. การแปรงฟันผิดเวลา
          หลายท่านเคยชิน ทานอาหารเสร็จปุ๊บต้องรีบเข้าห้องน้ำแปรงฟันปั๊บ เพื่อหวังกำจัดเชื่อแบคทีเรียเป็นอีกหนทางในการป้องกันฟันผุ แต่ในความจริงแล้ว การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้ออาจไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพฟันเสมอไป หากมื้อนั้นคุณรับประทานอาหารที่มีกรดสูง เช่นไวน์ , กาแฟ, น้ำอัดลมหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
          ทั้งนี้เพราะ อาหารที่มีกรดสูงเมื่อเรารับประทานเข้าไป กรดของมันจะเข้าไปทำลายเคลือบฟันมากอยู่แล้วหากยิ่งไปขัดถูแปรงฟันเข้าอีก เคลือบฟันก็จะยิ่งสึกกร่อนและถูกทำลายมากเข้าไปใหญ่ฉะนั้นแนะนำว่า หลังทานอาหารที่มีกรดสูงเข้าไป ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าไปก่อนจากนั้นรอสัก 1ชั่วโมงแล้วค่อยแปรงฟันเช่นนั้นจะส่งผลดีต่อฟันมากกว่าค่ะ
3. นิยมจิบไวน์
          “ไวน์” (wine) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์(Alcohol) ที่ หลายคนติดอกติดใจนี่แหละค่ะที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ฟันผุ เพราะกรดที่มีอยู่ในไวน์นั้นสามารถทำให้เคลือบฟันของเราค่อยๆ เสื่อมสภาพลง ฉะนั้นสำหรับผู้ชื่นชอบการจิบไวน์แต่อยากลดความเสี่ยงเรื่องภาวะฟันผุ DavidF. Halpern  แนะ นำว่าควรจิบไวน์แต่พอควรจิบเรื่อยๆ ทีละนิด หลังจิบแล้วก็ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปสักหน่อยเพื่อให้น้ำเปล่าช่วยชำละล้างกรดใน ไวน์ ไม่ให้ทำลายเคลือบฟันได้มากนัก
          รวมถึงรับประทานไวน์คู่กับอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม (Calcium)เช่น ดื่มไวน์ขาว คู่กับ ชีส (chese) หรือรับประทานอาหารอย่างอื่นเป็นกับแกล้มระหว่างจิบไวน์ไปด้วย เพราะน้ำลายที่เกิดจากการเคี้ยวอาหารจะช่วยให้กรดในไวน์เจือจางได้
4. ทานยาลดน้ำหนัก
          เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกันมาบ่อยแล้ว สำหรับเรื่องผลข้างเคียงของยาลดน้ำหนักที่อาจส่งผลต่อประสาท ทานแล้วเบลอหรือพอเลิกทานน้ำหนักก็กลับมามากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ฯลฯ นอกจากผลข้างเคียงที่คุ้นหูนั้นยังมีอีกอย่างที่คุณอาจไม่ทราบนั่นคือ ยาลดน้ำหนักก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงทำให้คุณเป็นโรคเหงือก และฟันผุได้ด้วย
          เพราะยาลดความอ้วนส่วนใหญ่มักส่งผลให้ต่อมน้ำลาย ผลิตน้ำลายน้อยลง ซึ่งเมื่อน้ำลายในปากน้อยลงเชื้อแบคทีเรีย  ที่มีอยู่ในช่องปากก็จะทำลายเหงือกและฟันของคุณได้มากขึ้นจนนำไปสู่อาการฟัน ผุ สุขภาพช่องปากย่ำแย่
         ฉะนั้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คู่ไปกับการควบคุมอาหารจึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด ที่นอกจากจะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยแล้วยังปกป้องร้อยยิ้มสวยๆ ของคุณไว้ได้อีกต่างหาก
5. ดื่มชา- กาแฟ
          เครื่องดื่มร้อนๆ หอมกรุ่น อย่างชา - กาแฟ ที่สาวเราชอบดื่มกัน นอกจากจะทำให้เกิดคราบไม่น่ามองที่ฟันแล้วสารแทนนิน (tannin) ใน ชา- กาแฟ ยังส่งผลต่อผิวฟัน ทำให้ผุกร่อนง่ายอีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะแนะนำให้ดื่มชากาแฟ แต่พอดีแล้ว หลังดื่มเสร็จ ควรกลั้วน้ำเปล่าเสียหน่อยเพื่อช่วยเจือจางสารแทนนิน มิให้ทำลายผิวฟัน และถ้าจะให้ดีควรเพิ่มนม ลงไปในชา หรือกาแฟด้วย
          “สารแทนนินในชาดำ และกาแฟ จะเข้าไปทำลายผิวเคลือบฟัน ,ทั้ง ยังทำให้เกิดเป็นคราบฝังแน่นที่ผิวฝันอีกด้วยฉะนั้นจึงแนะนำว่า ควรบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้อย่างพอเหมาะ และควรเพิ่มนม ลงในชาหรือกาแฟ ของคุณเพื่อช่วยต่อต้านกรดที่มีในชา และกาแฟเหล่านั้นด้วยประธานสถาบันทันตกรรมDavid F. Halpern ให้ข้อมูล
6. อดอาหารลดน้ำหนัก
          เมื่ออยู่ในช่วงไดเอท (diet) บาง คนตั้งหน้าตั้งตาจำกัดอาหาร หวังลดน้ำหนัก ควบคุมสัดส่วนให้สวยนิ้ง จนลืมคิดไปว่า การที่คุณสาวๆรับประทานอาหารน้อยลงนั้น เป็นสาเหตุให้คุณขาดวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อเหงือกและ ฟัน ทั้ง โฟเลต (Folate), วิตามินดี (Vitamin D) , โปรตีน (Protein) , แคลเซียม, วิตามินซี(Vitamin C) ฯลฯ
         นอก จากนี้พฤติกรรมการรับประทานน้อย ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอยังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง จนอาจเกิดการติดเชื้อที่เหงือกและช่องปากได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
7. ทานยาคุมกำเนิด
          เกิดเป็นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะยาคุมกำเนิด ที่สาวมีคู่แล้วต้องรับประทานเพื่อคุมกำเนิดเนี้ย ส่งผลต่อการรักษาโรคเหงือก และฟันที่จะทำได้ยากขึ้น
          ทั้งนี้มีการศึกษายืนยันว่าผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หากพวกเธอเกิดภาวะฟันผุ แล้วต้องไปถอนฟันนั้นมีแนวโน้มว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้ จะเกิดภาวะการติดเชื้อ ที่เหงือกมากกว่าคนทั่วไป(ผู้ไม่รับประทานยาคุมกำเนิด) ถึง 2เท่า ฉะนั้นหากคุณยังต้องรับประทานยาคุมกำเนิดจริงๆ แนะนำว่าควรปรึกษากับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อคอยระมัดระวังสอดส่องผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
8. ฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่นเพิ่มความเสี่ยงโรคเหงือก
          เป็นอีกเรื่องที่ต้องเตือนกันไว้สำหรับหนุ่ม-สาว แรกรุ่น ที่นอกจากเราจะทราบกันดี ว่าเมื่อฮอร์โมน (Hormone) ใน ช่วงวัยรุ่นพุ่งพล่านนอกจากจะทำให้เกิดสิว หน้ามัน ฯลฯ แล้ว ยังสามารถทำให้เกิดภาวะเหงือกบวมและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อที่ เหงือก เกิดโรคเหงือกอักเสบและแผลในปากได้ง่ายขึ้น
          แต่ทั้งนี้หากดูแลสุขอนามัยภายในช่องปากให้ดี แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์เป็นประจำก็จะสามารถลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ค่ะ
9. การฟอกฟันให้ขาว
          แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการฟอกฟันขาวจะทำลายผิวฟัน แต่ก็มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ระบุว่าการฟอกฟันเพื่อให้ขาวใสนั้น สามารถส่งผลให้ผิวฟันบอบบางโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำบ่อยเกินไป!
         ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจฟอกสีฟันตามคลินิก(clinic) , ใช้เจลฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้านหรือแม้กระทั่งใช้ยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง (Whitening)ที่อาจมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนผิวฟันควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอจ้า
10. อายุเพิ่มกระดูก - ฟัน ยิ่งอ่อนแอ
         เป็น เรื่องธรรมดาที่ต้องเตรียมใจค่ะ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระดูก และฟันของเราย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา แม้เรื่องอายุจะหยุดยั้งไม่ได้ แต่คุณก็สามารถช่วยบรรเทาความสึกหลอของฟันได้ ทั้งการรับประทานอาหารที่เปี่ยมไปด้วยแคลเซียม รวมถึงใช้ยาสีฟัน ที่มีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ (fluoride)อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ
          "ผู้ สูงอายุที่แปรงอย่างสม่ำเสมอด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์หรือบ้วนปากด้วยฟลูออไรด์ อย่างสม่ำเสมอ จะมีฟันผุน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ฟลูออไรด์”” ประธานสถาบันทันตกรรม แห่งสหรัฐอเมริกา David F. Halpern ให้ข้อมูลปิดท้าย
เครดิตจาก สสส.และวิชาการดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น